ซีวิลเอนจีเนียริง เคาะราคา IPO ที่ 4.60 บาทต่อหุ้น

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

บมจ.ซีวิลเอนจีเนียริง หรือ CIVIL กำหนดราคาเสนอขาย IPO หุ้นละ 4.60 บาท พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 19-21 ม.ค. นี้ ชูเทคโนโลยีเสริมศักยภาพการบริหารโครงการก่อสร้าง รับแผนขยายงานภาครัฐ-เอกชน หนุนกำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรสุทธิสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด(มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขาย IPO ของ บมจ.ซีวิลเอนจีเนียริงที่ 4.60 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในระหว่างวันที่ 19-21 มกราคม 2565 และคาดว่าจะสามารถนำหุ้น CIVIL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณวันที่ 27 มกราคม 2565

CIVIL จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างเพิ่มประสิทธิภาพบริหารโครงการก่อสร้างให้มีความหลากหลายมากขึ้น ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลดีต่อสถานะทางการเงินมีความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจในการเข้าบริหารโครงการก่อสร้างรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันการเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ทั้งนี้ จากการนำเสนอข้อมูลแผนดำเนินงานและศักยภาพการเติบโตของ CIVIL ต่อกลุ่มนักลงทุนสถาบัน พบว่า ได้รับความสนใจเนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากจุดเด่นประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมายาวนาน ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐขึ้นทะเบียนเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นสูง

รวมถึงความโดดเด่นด้านบริหารต้นทุนโครงการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ โดยนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนบริหารจัดการในหลายมิติรวมถึงมีโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างเป็นของตนเอง ช่วยเสริมสร้างโอกาสเติบโตจากการรับบริหารโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐเพิ่มขึ้นและต่อยอดขยายฐานลูกค้าภาคเอกชน พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขยายธุรกิจวัสดุก่อสร้างประเภทต่างๆ สร้างความมั่นคงของรายได้และผลักดันการทำกำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CIVILกล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านวิศวกรรมโยธาและงานก่อสร้างแบบครบวงจร ที่มีประสบการณ์ความชำนาญมากกว่า 50 ปี จากการพัฒนาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศมาแล้วมากกว่า 1,000 โครงการ ครอบคลุมตั้งแต่ งานทาง งานรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง งานท่าอากาศยาน เขื่อนและอ่างเก็บน้ำ นิคมอุตสาหกรรมและงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ

ความสำเร็จของ CIVIL มาจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ให้ความสำคัญกับ ESG เพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ด้วยความพร้อมของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโยธา เครื่องจักรอุปกรณ์และเป็นเจ้าของโรงงานผลิตชิ้นส่วนวัสดุส่วนก่อสร้าง 11 แห่ง ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของประเทศ ช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการต้นทุนโครงการที่ดี และที่สำคัญได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งผลต่อขีดความสามารถการแข่งขันในทุกด้าน”นายปิยะดิษฐ์กล่าว

 

ทั้งนี้ บริษัทฯ นำจุดแข็งต่อยอดสู่กลุ่มลูกค้าภาคเอกชนและสร้างโอกาสรับงานบริหารโครงการที่หลากหลาย เพิ่มอัตราผลตอบแทนการบริหารโครงการก่อสร้างให้สูงขึ้น และพร้อมขยายไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตอบสนองต่อความต้องการอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงขยายตัวและสร้างสมดุลของรายได้ให้แก่การดำเนินธุรกิจของ CIVIL ให้ดีที่สุด

 

นายโกวิท เนื่องสุข ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน CIVILกล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2562 – 2563 ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 3,210 ล้านบาทในปี 2562 และเพิ่มเป็น 4,130 ล้านบาทในปี 2563 ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้รวม 3,736 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,999 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมากกว่า 90% ของรายได้รวม

บริษัทมีอัตราขยายตัวอย่างโดดเด่นจาก 2,950 ล้านบาทในปี 2562 เพิ่มเป็น 3,752 ล้านบาทในปี 2563 และช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 รายได้จากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ที่ 3,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,719 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 30% โดยมีมูลค่าสัญญางานโครงการก่อสร้างที่รอส่งมอบ (Backlog) รวมถึงโครงการที่เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564 ประมาณ 16,800 ล้านบาท สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจและโอกาสเติบโตที่ดีของบริษัทฯในอนาคต

 

ขณะเดียวกันความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรสุทธิในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ CIVIL ยังโดดเด่น ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของบริษัทในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.60% ในปี 2562 และ 9.28% ในปี 2563 ส่วน 9 เดือนแรกปี 2564 มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11.08% ตอกย้ำแนวทางการบริหารความหลากหลายโครงการช่วยสร้างสมดุลระหว่างมูลค่าโครงการและผลตอบแทนและการจัดสรรทรัพยากรขององค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/money_market