เงินภาษีประชาชนถูกใช้อย่างไม่โปร่งใส: สส.ปชน. เปิดโปงการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือยในรัฐสภา

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

การเปิดเผยที่สั่นสะเทือนวงการการเมือง

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับประชาชนชาวไทย เมื่อนายภัณฑิล น่วมเจิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร จากพรรคประชาชน ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลอันน่าตกใจเกี่ยวกับการใช้งบประมาณในรัฐสภาอย่างไม่สมเหตุสมผลและขาดความโปร่งใส หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568

นายภัณฑิลได้กล่าวว่า สิ่งที่เขาพบเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่ารัฐสภามีหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้เงินภาษีของประชาชนในหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ แต่กลับไม่สามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณภายในองค์กรของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาอันร้ายแรงในระบบการบริหารจัดการงบประมาณของรัฐสภา

โครงการฟุ่มเฟือยที่น่าตกใจ

สส.จากพรรคประชาชนได้เปิดเผยรายละเอียดของโครงการหลายโครงการที่มีการของบประมาณจำนวนมหาศาล โดยไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนและไม่ชัดเจนว่าจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร ซึ่งรวมถึง:

  1. โครงการก่อสร้างและปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา – งบประมาณรวม 120 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณปัจจุบัน 42 ล้านบาท และมีงบผูกพันไปถึงปี 2570 อีกประมาณ 90 ล้านบาท ซึ่งนายภัณฑิลตั้งคำถามถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการลงทุนขนาดใหญ่นี้
  2. โครงการพัฒนาระบบโรงภาพยนตร์ 4D – งบประมาณสูงถึง 180 ล้านบาท ซึ่งจะไม่ใช่เพียงแค่ระบบแสง สี เสียงทั่วไป แต่จะมีระบบจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง เช่น ลม ฝน และแรงสั่นสะเทือน เหมือนกับโรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เมื่อมีการตั้งคำถามถึงความจำเป็นและความเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมประชาธิปไตย ผู้บริหารสำนักงบประมาณก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้
  3. โครงการปรับปรุงไฟส่องสว่างห้องสัมมนา – งบประมาณ 118 ล้านบาท สำหรับการปรับปรุงระบบไฟส่องสว่างในห้องสัมมนาชั้น B1 และ B2 โดยไม่มีการชี้แจงว่าระบบไฟเดิมมีปัญหาหรือไม่ หรือมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอย่างไร
  4. การปรับปรุงศาลาแก้วหน้าอาคารรัฐสภา – งบประมาณ 123 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะรื้อถอนและสร้างใหม่ทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่ามีน้ำรั่วซึมลงไปยังชั้นล่างที่เป็นลานจอดรถ แต่นายภัณฑิลชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวยังไม่เคยถูกเปิดใช้งานเลย
  5. การปรับปรุงห้องประชุม CB406 – งบประมาณ 118 ล้านบาท ทั้งที่ตามความเห็นของนายภัณฑิล ห้องประชุมดังกล่าวยังอยู่ในสภาพดีและใช้งานได้ตามปกติ
  6. การปรับปรุงพื้นที่ครัวอาคารรัฐสภา – งบประมาณ 117 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะย้ายครัวจากชั้น 1 และปรับพื้นที่เดิมให้เป็นห้องสันทนาการของสโมสรรัฐสภา ซึ่งงบประมาณที่ตั้งไว้นั้นมากพอที่จะสร้างร้านอาหารได้เลยทีเดียว
  7. การจัดทำระบบภาพและเสียงสำหรับห้องประชุม 1,500 ที่นั่ง – งบประมาณ 99 ล้านบาท ซึ่งนายภัณฑิลตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นความพยายามในการเลียนแบบสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และตั้งคำถามถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างห้องประชุมขนาดใหญ่เช่นนี้

การใช้งบประมาณที่น่าสงสัยของวุฒิสภา

นอกจากการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือยในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายภัณฑิลยังเปิดเผยถึงการใช้งบประมาณที่น่าสงสัยในส่วนของวุฒิสภา ได้แก่:

  1. การตั้งเบี้ยประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน – มีการขอตั้งงบประมาณสำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน จำนวน 30 คน โดยกำหนดเบี้ยประชุมที่ 1,500 บาทต่อคน และวางแผนการประชุมไว้ถึง 52 ครั้งต่อปี หรือทุกสัปดาห์โดยไม่มีวันหยุด รวมเป็นงบประมาณ 2.34 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อมีการตั้งคำถาม ได้รับคำชี้แจงเพียงว่าเป็นการตั้งงบประมาณไว้เผื่อเท่านั้น
  2. ค่าใช้จ่ายในการเพิ่มทักษะภาษาจีนสำหรับสมาชิกวุฒิสภา – มีการของบประมาณ 2.3 ล้านบาท สำหรับการเรียนภาษาจีนของสมาชิกวุฒิสภาเพียง 15 คน โดยมีแผนที่จะส่งไปเข้าค่ายฝึกอบรมที่ประเทศจีนหลังจากเรียนภาษาจีนเสร็จสิ้น ซึ่งนายภัณฑิลตั้งคำถามถึงความชอบธรรมและความคุ้มค่าของการใช้เงินภาษีประชาชนในลักษณะนี้

การเรียกร้องความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

นายภัณฑิลได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า เขาไม่สามารถยกมือสนับสนุนงบประมาณเหล่านี้ได้ไม่ว่าจะในวาระ 1 หรือวาระ 2 ในสภา เนื่องจากไม่มีความชอบธรรมและไม่สามารถตอบคำถามของประชาชนได้ เขายังเน้นย้ำถึงความขัดแย้งอย่างร้ายแรงในการที่รัฐสภาทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของหน่วยงานอื่น ๆ แต่กลับไม่สามารถตรวจสอบตัวเองได้

นายภัณฑิลยังได้เปิดเผยแผนการในขั้นตอนต่อไป โดยเขาจะเรียกผู้ออกแบบอาคารรัฐสภามาสอบถามถึงเจตนาดั้งเดิมของการออกแบบ เพื่อให้ทราบว่าแต่ละพื้นที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด และประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างไรจากการออกแบบเหล่านั้น

ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

การเปิดเผยข้อมูลของนายภัณฑิลได้สร้างความตกใจให้กับประชาชนจำนวนมากและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันนิติบัญญัติ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมมากมาย การใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมโยงระหว่างผู้กำหนดนโยบายกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

บทสรุป

กรณีการเปิดเผยข้อมูลโดยนายภัณฑิลเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความจำเป็นในการเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้งบประมาณของรัฐสภา การใช้เงินภาษีของประชาชนควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบายหรือความฟุ่มเฟือยของผู้มีอำนาจทางการเมือง

ความกล้าหาญของนายภัณฑิลในการเปิดเผยข้อมูลนี้เป็นก้าวสำคัญในการนำไปสู่การปฏิรูประบบการบริหารจัดการงบประมาณในรัฐสภา และเป็นการเตือนให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนในการใช้เงินภาษีของประชาชน ขณะที่สังคมไทยติดตามความคืบหน้าของกรณีนี้ด้วยความสนใจอย่างใกล้ชิด เราหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมในการบริหารจัดการงบประมาณของรัฐสภาในอนาคตอันใกล้นี้